วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ข้อสอบนวัตกรรมและสารสนเทศข้อ 3

นางสาวจริงจริง แซ่หลิ่ม เลขที่ 35
ป.บัณฑิตการบริหารการศึกษา รุ่น 8
3.ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย ( กฎหมายว่าด้วยการ
กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ) เพื่อแก้ปัญหาอาชญา
กรรม ในสังคมจากการใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือใน
การกระทำความผิด จงอภิปราย ถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องให้เป็นรูปธรรม
ตอบ เห็นด้วยกับการใช้กระบวนการทางกฎหมาย(กฎหมายว่าด้วยการกระทำความ

ผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ) เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในสังคมจาก
การใช้คอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
เพราะเราจะพบว่า ในปัจจุบันการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบ
อิเล็กทรอนิกส์ได้เข้ามามีบทบาท และทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นตามลำดับต่อระบบ
เศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไทย แต่ใน ขณะเดียวกันการ
กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ก็มีแนวโน้มขยายวงกว้างและทวีความรุนแรง
เพิ่มมากขึ้นด้วยโดยขอสรุปประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้เป็นด้าน ๆ
ดังนี้
1. ความผิดสำหรับแฮกเกอร์ สรุปได้ดังนี้
1.1 ) เข้าเว็บสาธารณะย่อมไม่มีความผิด แต่ผู้ที่เจาะระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น

ที่สร้างระบบป้องกันไว้มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
แต่ถ้าเจาะเข้าไปถึงข้อมูล ที่เก็บรักษาไว้ด้วยโทษจะเพิ่มเป็น 2 เท่า
1.2) ผู้ที่เผยรหัส ( password ) ที่ตัวเองรู้มาสำหรับเพื่อใช้เข้าระบบคอม

พิวเตอร์ มีโทษ จำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
1.3 ) ผู้ที่ดักจับข้อมูลที่เป็นส่วนตัว ซึ่งส่งถึงกันทางอินเทอร์เน็ต ทาง e-mail

มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท
2. ความผิดสำหรับผู้ที่ปล่อยไวรัส

2.1) ผู้ที่ทำลายข้อมูลหรือไปเปลี่ยนข้อมูลของผู้อื่นไม่ว่าด้วยวิธีการใด จะใช้ไวรัส
หรือแอบเข้า ไปทำลายมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท
2.2) การทำลายข้อมูลผู้อื่น ทำให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ประเภทคอม-

พิวเตอร์ควบคุม จราจรโทษสูงขึ้นเป็น จำคุก 10 ปี ปรับ 200,000 บาท ถ้า
กระทบถึงความมั่นคงประเทศ โทษจะสูงขึ้นเป็นจำคุก 3 – 15 ปี ถ้าจนเป็นเหตุ
ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โทษจะหนักถึงจำคุก 10 – 20 ปี
3. ความผิดของผู้ที่ก่อกวนหรือแกล้งผู้อื่น
3.1) ผู้ที่ส่งอีเมล์ก่อกวนหรือโฆษราขายสินค้าหรือขายบริการ ประเภทไปโผล่ pop

up หรือผู้ที่ส่งเมล์ขยะโดยที่ผู้รับไม่ต้องการมีโทษปรับอย่างเดียว ไม่เกิน
100,000 บาท โทษฐาน ก่อความรำคาญ
3.2) ผู้ที่ส่งเมล์เป็นข้อมูลปลอม ข้อมูลเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น เป็นข่าวลือ ปล่อยข่าว

ให้เกิดความวุ่นวาย รวมถึงส่งภาพลามกอนาจารทั้งหลายทั้งหลาย รวมถึงผู้ที่ได้รับแล้ว
ส่งต่อด้วย มีโทษ เท่ากันคือ จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
3.3) ผู้ที่ตัดต่อภาพของผู้อื่น แล้วนำเข้าเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต ทำให้เจ้าของภาพ

เสียหาย อับอาย ต้องโทษ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 600,000 บาท
4. ความผิดของผู้ให้บริการ ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้บริการ

อย่างน้อย 90 วัน เพื่อให้สามารถ หาตัวผู้ใช้บริการสำหรับให้ตรวจสอบได้ มิฉะนั้น
ผู้ให้บริการจะต้องรับโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท การกระทำความผิดตาม
กฎหมายนี้ แม้จะกระทำในรอบราชอาณาจักรไม่ว่าคนไทยหรือคนต่างด้าว ถ้าเกิดความ
เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศก็ต้องรับโทษตามกฎหมายนี้ แต่ปัญหาที่
ตามมาก็คือ การกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์ทางอินเตอร์เน็ตนี้จะจับได้อย่างไรใน
ทางปฏิบัติ กฎหมายให้อำนาจเรียกข้อมูลจากผู้ให้บริการหรือเจ้าของเว็บทั้งหลาย รวมทั้ง
มีอำนาจที่จะเข้าไปติดตาม ตรวจสอบ คัดเลือก ในระบบคอมพิวเตอร์ของใครก็ได้ ถ้ามีเหตุ
อันควรเชื่อถือได้ว่ามีการกระทำความผิด แต่การใช้อำนาจเจาะเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์
ของผู้อื่นตามกฎหมายฉบับนี้นั้น จะต้องขออนุญาตต่อ ศาลเสียก่อน จะกระทำโดยพละการ
ไม่ได้ หากเจ้าหน้าที่เปิดเผยข้อมูลที่ใช้อำนาจที่ไปเจาะข้อมูลมาโดย ไม่มีอำนาจ
เจ้าหน้าที่ มีความผิดด้วย โดยต้องรับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000
บาทและแม้ ไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผย แต่ด้วยความประมาททำให้ข้อมูลหลุดเข้าระบบ
อินเทอร์เน็ตก็ต้องรับโทษ จำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท กฎหมายว่า
ด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 เป็นกฎหมายที่ดีมีประโยชน์
เพราะทำให้ประเทศไทยได้ชื่อเสียงว่ามีกฎหมายด้านกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เช่นเดียวกับอารยประเทศทั้งหลายช่วยป้องปรามให้เกิดกระทำความผิดเกี่ยวกับคอม
พิวเตอร์น้อยลงและช่วยให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้รวดเร็ว เป็นต้น อย่างไร
ก็ตามเช่นเดียวกับกฎหมายฉบับอื่น ๆก็ต้องมีการปรับปรุง แก้ไขเป็นระยะ ๆ อาทิ ควรมี
ข้อยกเว้นให้ส่งเบาะแสการกระทำความผิดให้เจ้าหน้าที่ที่ผ่านอินเทอร์เน็ต ควรออก
กฎหมายใหม่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้ครบถ้วนยิ่งขึ้นและควรปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่
ให้ครอบคลุม มากขึ้น เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
***************************************************

ข้อสอบนวัตกรรมและสารสนเทศข้อ 2

ข้อ 2 . ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับการจัดทำแผนแม่บทด้าน ไอซีที ( I C T )
ฉบับที่ 2 ของรัฐบาลไทยจงสังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทมาเป็น
คำอรรถาธิบายให้แจ้งชัด
ตอบ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับการจัดทำแผนแม่บทด้านไอซีที ( I C T )
ฉบับที่ 2
ของรัฐบาลไทย จากการสังเคราะห์ความรู้จากแผนแม่บทว่าด้วย 6 ยุทธศาสตร์
แยกรายละเอียดของแต่ละยุทธศาสตร์ ดังนี้
- ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนากำลังคนด้าน ICTและบุคคลทั่วไปให้มี
ความสามารถ
ในการสร้างสรรค์ ผลิต และใช้สารสนเทศอย่างมีวิจารณญาณและรู้เท่าทันมีสาระสำคัญ
เพื่อเร่งพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาประเทศสู่สังคม
ฐานความรู้และนวัตกรรมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองและสังคมโดยรวม โดยมีมาตรการที่
สำคัญแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลากรเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( ICT Pro-

fessional )
1.1 ) พัฒนาผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาให้มีทักษะ

และคุณภาพตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรม
1.2 ) พัฒนาบุคลากร ICT ที่ปฏิบัติงานในภาคอุตสาหกรรมอยู่ในปัจจุบัน
( ICT Workforce )
2. การพัฒนาบุคลกรในสาขาวิชาชีพอื่น ๆ และบุคคลทั่วไปประกอบด้วย
2.1) ส่งเสริมให้มีการนำ ICT มาใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนการสอนใน

การศึกษาในระบบทุกระดับชั้นมากขึ้น แต่มุ่งเน้นที่การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นสำคัญ โดย
พัฒนาทักษะด้าน ICT ให้แก่ครู ควบคู่ไปกับการปรับหลักสูตรการเรียนการสอนที่
เน้นการพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาโดยใช้ ICT
2.2) พัฒนาการเรียนรู้ ICT เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตโดยจัด

ให้มีแหล่งเรียนรู้ ICT ของชุมชนที่มีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย
2.3 ) พัฒนาการเรียนรู้ ICT แก่แรงงานในสถานประกอบการ
เพื่อให้
สามารถใช้ประโยชน์จาก ICT ในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ
ทำงานรวมถึงส่งเสริมการพัฒนาระบบ E Learning สำหรับการเรียน ICT
2.4 ) พัฒนาการเรียน ICT แก่ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการและผู้สูงอายุรวม

ถึงการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผู้พิการและการฝึกอบรมความรู้ด้าน ICT
แก่ผู้สูงอายุ
2.5 ) พัฒนาความรู้และทักษะด้าน ICT แก่บุคคลภาครัฐรวมถึงการจัด

ตั้งสถาบันพัฒนาความรู้ความสามารถด้าน ICT ให้แก่บุคคลภาครัฐทั้งนี้ให้มีแรงจูงใจ
ค่อตอบแทนและโอกาสความก้าวหน้าในการทำงานที่เหมาะสม
3. มาตรการสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนา “ คน ” ในวงกว้าง

เช่นการพัฒนาระบบฐานข้อมูลกำลังคนด้าน ICT ของประเทศเพื่อประกอบการวาง
แผนการพัฒนากำลังคน ส่งเสริมสมาคม ชมรม เครือข่ายส่งเสริมการใช้ ICT อย่าง
สร้างสรรค์ เป็นต้น
- ยุทธศาสตร์ที่ 2 : การบริหารจัดการระบบ ICT ระดับชาติอย่างมีธรรมาภิบาล
( National ICT Governance ) โดยเน้นความเป็นเอกภาพ การใช้ทรัพยากร

อย่างคุ้มค่าและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยมีมาตรการ 4 กลุ่ม
ประกอบด้วย
1. ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารและการจัดการ ICT ระดับชาติ
2. ปรับปรุงกระบวนการจัดทำ เสนองบประมาณและกระบวนการพิจารณา จัดสรร
งบประมาณด้าน ICT ของรัฐ
3. พัฒนาหรือปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงกลไกการบังคับใช้กฎหมาย
เพื่อให้เอื้อต่อการใช้ ICT และการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
4. ปรับปรุงระบบรากฐานข้อมูลตัวชี้วัดสถานภาพการพัฒนา ICT ของประเทศ

- ยุทธศาสตร์ที่ 3 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศ
- มุ่งเน้นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อทำให้สังคมมีความ

สงบสุข และประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยมีมาตรการที่สำคัญ 4 กลุ่ม ประกอบด้วย
1. ขยายประเภทบริการ เพิ่มพื้นที่ให้บริการและปรับปรุงประสิทธิภาพของเครือข่าย
โทรคมนาคม
2. เร่งรัดการสร้างความมั่นคงของระบบสารสนเทศ ( Information Security )
3. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT เพื่อยกระดับการศึกษาและการเรียนรู้ตลอดชีวิตของ
ประชาชน
4. พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สารสนเทศสำหรับบริการภาคสังคมที่สำคัญ
5. เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดเครือข่ายและทรัพยากร

- ยุทธศาสตร์ที่ 4 : การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสนับสนุนการ

สร้างธรรมาภิบาลในการบริหารและการบริการของภาครัฐ (e - Governance) มี
มาตรการสำคัญประกอบด้วย
1. สร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการกำหนดกรอบแนวทางปฏิบัติและ
มาตรฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาบริการอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาลแบบบูรณาการ
- ยุทธศาสตร์ที่ 5 : ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาห

กรรม I C T สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและรายได้เข้าประเทศ
- มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

I C T ไทยโดยมุ่งเน้นการสร้างงานวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมภายในประเทศทั้งจากหน่วย
งานภาครัฐภาคการศึกษาและภาคเอกชนมาตรการสำคัญของยุทธศาสตร์นี้ประกอบด้วย
1. การสนับสนุนด้านเงินทุน เงินช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมให้เกิดผู้ประกอบ

การรายใหม่
2. การยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการ I C T ไทยสู่ระดับสากล
3. การสร้างโอกาสทางการตลาดและโอกาสในการแข่งขันสำหรับผู้ประกอบ

การไทย
4. การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมI CTทั้งภายในประเทศและจาก

ต่างประเทศ
- ยุทธศาสตร์ที่ 6 : การใช้ I C T เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการ
แข่งขันอย่างยั่งยืน
- มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมภาคการผลิตของประเทศไทยให้เข้าถึงและสามารถ
ใช้ประโยชน์จาก I C T เพื่อก้าวไปสู่การผลิตและการค้ากับการบริการมีมาตรการ
ที่สำคัญ ประกอบด้วย
1. สร้างความตระหนักและพัฒนาขีดความสามารถด้าน I C T ของผู้ประกอบการ
2. เสริมสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
3. ส่งเสริมการนำ ICTมาใช้ในภาคการผลิตและบริการที่เป็นยุทธศาสตร์ของประเทศ
4. ยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
( s M E s ) และวิสาหกิจชุมชน
5. ส่งเสริมการนำ I C T มาใช้ในมาตรการการประหยัดพลังงาน เพื่อลดค่าใช้จ่าย
และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับองค์กรและประเทศอย่างยั่งยืน

..........................................................................................

ข้อสอบนวัตกรรมและสารสนเทศข้อ 1

1. ท่านสามารถประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศในองค์กรของท่านได้อย่างไร
บอกกรอบความคิด ขั้นตอนผลกระทบให้เห็นกระบวนการคิดของท่านทั้ง
ระบบ
ตอบ
โรงเรียนข้าพเจ้าสามารถนำระบบสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับองค์กร
เพื่อช่วยในการ ปฏิบัติงานของบุคลากรและเป็นเครื่องมือสำหรับการบริหาร
และการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศทุกระบบจะต้องมีข้อมูลนำเข้าประมวล
ผล
และให้ผลลัพธ์ที่เป็นสารสนเทศที่มีประโยชน์ต่อองค์กร
- กรอบแนวความคิด ขั้นตอนผลกระทบต่อการนำระบบสารสนเทศมา

ประยุกต์ใช้ในองค์กร ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอกล่าวถึงระบบสารสนเทศเพื่อการ
จัดการ ( Management – Informantion System ) มี
- วัตถุประสงค์หลัก : ควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติการและสรุปสภาพการณ์
- ข้อมูลนำเข้า : ข้อมูลจากการรายงานกิจกรรมและจากแต่ละขอบเขตการ

บริหารในองค์กร ตัวแบบไม่ซับซ้อน
- สารสนเทศผลลัพธ์ : รายงานสรุป รายงานสิ่งสกปกติสารสนเทศที่มีโครง
สร้าง
- ผู้ใช้ : ผู้บริหาร
- รูปแบบของการตัดสินใจ : มีโครงสร้างแน่นอน
- การใช้ข้อมูลสนับสนุน : ข้อมูลสนับสนุนตามรูปแบบและระยะเวลาที่กำหนด
- ข้าพเจ้ามีความคิดเห็นว่า การที่นำระบบสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้กับการ

ปฏิบัติงานใน องค์กรเพื่อให้การบริหารจัดการองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบสารสนเทศที่นำมาใช้ในการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำอย่างเป็นระบบ เพื่อ

สะดวกในการใช้งานซึ่งมีข้อมูลสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น
1. สารสนเทศด้านโรงเรียน เช่น ข้อมูลประวัติโรงเรียน
2. สารสนเทศด้านบุคลากร เช่น ข้อมูลประวัติบุคลากร ข้อมูลจำนวนบุคลากร
3. สารสนเทศด้านงบประมาณ ได้แก่ ภาพรวมงบประมาณ ภาพรวมยุทธศาสตร์
สรุปจำนวนโครงการ สรุปจำนวนกิจกรรม ติดตามแผนการดำเนินงาน
4. สารสนเทศด้านพัสดุและครุภัณฑ์ ได้แก่
- ทะเบียนทรัพย์สินตามปีงบประมาณ
- อาคารและสิ่งปลูกสร้าง
- สรุปจำนวนการสั่งซื้อ
- รายงานจำนวนครุภัณฑ์แต่ละประเภท
5. สารสนเทศด้านการเงินและบัญชี ได้แก่
- งบการเงินของโรงเรียน
- รายได้ค่าใช้จ่ายของโรงเรียน
6. สารสนเทศด้านการจัดการศึกษา ได้แก่
- จำนวนนักเรียนทั้งหมด
- จำนวนนักเรียนย้ายเข้า ย้ายออก
- จำนวนนักเรียนประจำปีการศึกษา
7. สารสนเทศด้านกลไกประกันคุณภาพ ได้แก่
- ข้อมูลการประเมินตนเอง
- รายงานตัวบ่งชี้วัด
- สรุปตัวบ่งชี้ประกันคุณภาพ
- S A R
8. สารสนเทศด้านงานบริหารโรงเรียน ได้แก่
- ข้อมูลการใช้ยานพาหนะ
- แสดงหนังสือเข้าและออก
- รายงานติดตามหนังสือเข้าและออก
- สถิติการใช้ห้องปฏิบัติการ / ห้องประกอบการ
- สรุปหนังสือรับส่ง
- สรุปการใช้รถยนต์
ผลกระทบในการใช้ระบบสารสนเทศในองค์กร
- กรณีเครือข่ายล่ม ไม่สามารถใช้งานได้ในขณะนั้น ทำให้การปฏิบัติล่าช้าหรือ

ไม่ทันเวลา ฉะนั้น องค์กรควรเตรียมรองรับปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ โดยสำรองข้อมูล
ทุกๆด้านของโรงเรียนลงในแผ่น C D หรือ Flash Driver เพื่อเป็นการ
เก็บข้อมูลให้คงอยู่เหมือนเดิมและสามารถใช้งานได้ทันทีเมื่อต้องการข้อมูลเหล่านั้น
......................................................................